ทำไมหลายบริษัทยังเลือกที่จะทำการตลาดด้วย SEO ?
บทความน่าอ่าน
ทำไมหลายบริษัทยังเลือกที่จะทำการตลาดด้วย SEO ?
แม้ว่าปัจจุบันจะมีเครื่องมือการตลาดดิจิทัลใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่การตลาดแบบ SEO (Search Engine Optimization) หรือกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ตั้งแต่โครงสร้างไปจนถึงเนื้อหาให้มีคุณภาพ เพื่อผลักดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหา ยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่หลายบริษัทเลือกใช้ เพราะตอบโจทย์กับธุรกิจทุกขนาด และยังเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ไปจนถึงการช่วยเพิ่มยอดขาย
และหากพูดถึงการทำ SEO แล้ว สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือการเข้ามาของ AI ที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อนำมาใช้ตอบสนองต่อการค้นหาข้อมูลของ Users ซึ่งอาจจะเข้ามามีผลกับการทำงานของ SEO ทำให้แบรนด์จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาดรูปแบบนี้ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้นบทความนี้จะพาไปหาคำตอบและอธิบายว่าทำไม SEO ยังคงจำเป็นกับแบรนด์ พร้อมเจาะ Key สำคัญที่ช่วยเสริมให้การทำ SEO ติดหน้าแรกหรือประสบความสำเร็จ
ข้อได้เปรียบสำหรับแบรนด์ เมื่อทำการตลาดด้วย SEO อย่างต่อเนื่อง
เพราะการทำ SEO มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับหรือ Ranking บนหน้าแสดงผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SERPs) ดังนั้นจึงถือเป็นข้อได้เปรียบสำหรับแบรนด์หลายข้อ ไม่ว่าจะเป็น
1. เพิ่ม Traffic เข้าเว็บไซต์ สร้างการรับรู้และเข้าถึงแบรนด์มากขึ้น
เมื่อบทความ SEO ในเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและติดหน้าแรก ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการรับรู้ถึงการมีอยู่ของแบรนด์ได้ มากขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อผู้ใช้งานเห็นชื่อแบรนด์ของคุณปรากฏบ่อย ๆ ในหน้าผลการค้นหาก็จะเริ่มจดจำได้
2. คุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มที่จะลงทุนระยะยาว
เมื่อเทียบกับการทำโฆษณาออนไลน์รูปแบบอื่น ๆ SEO ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว เนื่องจากเมื่อเว็บไซต์ของแบรนด์ติดอันดับที่ดี ก็จะได้ Traffic จาก Organic Search โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในทุก ๆ การคลิก
3. พบลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์
การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่แบรนด์นำเสนอ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มในการซื้อสินค้าหรือบริการที่สูง ซึ่งช่วยให้แคมเปญของแบรนด์ได้ Engage หรืออาจจะได้ยอดขายกลับมาไม่มากก็น้อย
4. เพิ่มโอกาสในการสร้าง Conversion เพราะมอบประสบการณ์ที่ประทับใจให้กับ Users
การทำ SEO รวมไปถึงการพัฒนาโครงสร้างของเว็บไซต์ให้มีความ Friendly ใช้งานง่าย หรือมอบ User Experience (UX) ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน มีโอกาสทำให้ผู้ใช้งานเดิมกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการอีกครั้ง และอาจบอกต่อหรือแนะนำให้ผู้อื่นได้รู้จักเว็บไซต์ของแบรนด์เพิ่มอีกด้วย ซึ่งจุดนี้จะนำไปสู่การเกิด Conversion ได้มากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจ E-Commerce ที่ต้องการให้ลูกค้าเข้าชมหน้าผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มยอดขายออนไลน์
5. สามารถวัดผลหลังทำได้ = พัฒนาและต่อยอดได้
แบรนด์สามารถวัดผลของการปรับปรุงคุณภาพเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ได้ในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น อันดับในผลการค้นหา, ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ หรืออัตราการคลิก ฯลฯ ซึ่งจุดนี้เองทำให้แบรนด์สามารถพัฒนาคุณภาพของบทความหรือปรับแก้ระบบของเว็บไซต์เพิ่มเติมได้แบบมีหลักการ ช่วยให้แบรนด์ต่อยอดจากกลยุทธ์การตลาดเดิมให้ดีขึ้นได้
5 คีย์สำคัญที่ช่วยเสริมให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จในปี 2024
สำหรับแบรนด์หรือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นทำ หรือต้องการพัฒนาการทำ SEO ติดหน้าแรก เราได้ลิสต์คีย์หลักทั้ง 5 ข้อที่ควรรู้ ซึ่งจะช่วยให้การทำ SEO ของแบรนด์คุณมีประสิทธิภาพแบบยั่งยืนในระยะยาว ไปดูกันว่าแต่ละคีย์มีอะไรบ้าง !
1. หลักเกณฑ์ E-E-A-T จาก Google เข้ามามีผลต่อคุณภาพของเนื้อหา
เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์และตรงกับหัวข้อที่ต้องการค้นหามากที่สุด Google ได้ยกระดับเกณฑ์ประเมินคุณภาพของเนื้อหาในการจัดอันดับการค้นหา จากเดิมคือ E-A-T มาเป็น “E-E-A-T” หรือเพิ่ม E – Experience เข้ามาในช่วงปี 2022 ซึ่งมีผลต่อการสร้างเนื้อหาในปัจจุบัน ดังนั้นเกณฑ์ E-E-A-T จึงเป็นคีย์ที่แบรนด์ควรทราบหากทำการตลาดด้วย SEO เราไปทำความรู้จักหลักเกณฑ์นี้กัน
E-E-A-T คืออะไร ?
E-E-A-T คือ หลักเกณฑ์หรือไกด์ไลน์ที่ Google นำมาใช้ในการประเมินคุณภาพของเนื้อหาบนเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยที่อักษรแต่ละตัวจะหมายถึง E – Experience, E – Expertise, A – Authoritativeness และ T – Trustworthiness และเพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไปดูคำอธิบายแต่ละเกณฑ์อย่างละเอียดด้านล่าง
- Experience (ประสบการณ์)
Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่เขียนโดยผู้ที่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่นำเสนอบนเว็บไซต์ เช่น เนื้อหาที่รีวิวสินค้าจากผู้ใช้จริง การไปเยี่ยมชมสถานที่จริง หรือบทความข้อมูลเชิงลึกที่นำเสนอผ่านความคิดเห็นของผู้สร้างเนื้อหาที่ประสบกับเรื่องต่าง ๆ มาด้วยตัวเอง - Expertise (ความเชี่ยวชาญ)
เนื้อหาควรแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ ทักษะ และความรู้ในหัวข้อต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง ยิ่งหัวข้อไหนที่สร้างสรรค์โดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น บทความสุขภาพที่เขียนโดยแพทย์ Google ยิ่งมองว่ามีประโยชน์กับผู้ใช้งาน ซึ่งอาจส่งผลต่อการจัดอันดับให้ดีขึ้นได้ - Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ)
สอดคล้องกับข้อด้านบน นั่นคือ เนื้อหาต้องแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ มีการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออื่น ๆ รวมถึงการที่ผู้เขียนมีความเชี่ยวชาญในวงการนั้น ๆ โดยเฉพาะ เช่น บทความเกี่ยวกับการวางแผนการเงิน ที่เล่าเนื้อหาโดยผู้เขียนที่มีชื่อในแวดวงธนาคารหรือบริษัทการเงิน เป็นต้น - Trustworthiness (ความไว้วางใจ)
Google ให้น้ำหนักกับการที่เว็บไซต์มีความปลอดภัย โปร่งใส ตรงไปตรงมา และน่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์มีความมั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลของตนจะไม่ถูกนำไปใช้เกินกว่าข้อตกลง หรือไม่มีลิงก์หรือเนื้อหาที่หลอกลวงให้ Users เสียทรัพย์ หรือเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack) โดยในเว็บไซต์ควรจะมีข้อมูล เช่น ข้อมูลผู้เขียนที่ชัดเจน นโยบายความเป็นส่วนตัวที่เข้มแข็ง และมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ดังนั้นเรื่องนี้จึงสำคัญไม่แพ้กัน
E-E-A-T ส่งผลต่อการทำเนื้อหาหรือคอนเทนต์บนเว็บไซต์หรือไม่ อย่างไร ?
เพื่อให้เนื้อหาบนเว็บไซต์ถูกมองว่ามีองค์ประกอบ E-E-A-T ครบ แบรนด์ต้องคำนึงถึงการสร้างบทความที่มีความเฉพาะตัว นำเสนอด้วยความจริงใจต่อ Users และครอบคลุมรายละเอียดของหัวข้อนั้น ๆ อย่างครบถ้วน พร้อมกับมีแหล่งอ้างอิงข้อมูลที่ชัดเจน เชื่อถือได้ พร้อมทั้งดูแลระบบให้มีความปลอดภัยต่อผู้เข้าชมด้วย
ถึงแม้ว่า E-E-A-T จะเป็นสิ่งที่ Google วางไว้เป็นไกด์ไลน์ในการประเมินเนื้อหา แต่ต้องบอกว่า เกณฑ์นี้ไม่ได้มีผลกับการจัดอันดับของ Google โดยตรง เพราะเป็นเพียงหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้แบรนด์ปรับปรุงชิ้นงานให้ตอบรับกับจุดประสงค์ของ Google ที่ต้องการให้ Users พบข้อมูลที่ตามหาเมื่อมีการ Search เข้ามานั่นเอง
2. เตรียมเนื้อหาเพื่อตอบรับกับ Google SGE
Google SGE หรือ Google Search Generative Experience คือรูปแบบใหม่ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้งานของ Google ที่ทาง Google พัฒนาขึ้นโดยการนำ AI เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรุปเนื้อหาและคำตอบให้กับผู้ใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลหรือคำตอบที่ต้องการอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องคลิกเข้าไปในแต่ละเว็บไซต์
โดย SGE มีหลักการทำงาน คือ การประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจากสิ่งที่ผู้ใช้งานค้นหาเข้ามา จากนั้นระบบจะค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่ง และแสดงสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาด้านบนของหน้าผลการค้นหาในรูปแบบของคำตอบที่เข้าใจง่าย ตอบคำถามอย่างตรงประเด็น ทำให้ผู้ใช้งานได้รับคำตอบรวดเร็วทันใจอย่างที่บอกไป
ปรับตัวอย่างไรให้ตามทัน Google SGE ?
ด้วยความที่ SGE อาจมีผลต่อการแสดงผลการค้นหา ดังนั้นแบรนด์ใดที่มีการทำ SEO อาจจะต้องปรับปรุงบทความและโครงสร้างของเว็บไซต์เพื่อรองรับการพัฒนาใหม่ ๆ นี้ไว้ด้วย โดยวิธีการดังนี้
- สร้างเนื้อหาที่ครอบคลุมและใช้ภาษาเหมือนบทสนทนาของคนทั่วไป แบรนด์ต้องนำเสนอข้อมูลให้คล้ายกับการพูดคุยกับบุคคลจริง ใส่ใจกับคุณภาพของเนื้อหาด้วยการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ เป็นข้อเท็จจริง และวางโครงเรื่องอย่างชัดเจน เช่น มีการจัดหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย หรือมีลิสต์รายการข้อมูลเป็นลำดับ ฯลฯ รวมถึงมีการอ้างอิงแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้ พร้อมกับใช้ภาพที่สวยงามและสื่อสารได้ตรงกับหัวข้อนั้น ๆ
- ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่า SGE อาจทำให้อัตราการคลิกเข้าเว็บไซต์ลดลงก็ตาม แต่โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี ก็จะทำให้มีโอกาสที่ระบบจะดึงข้อมูลไปตอบคำถามได้มากขึ้น หรือแม้แต่ Users เองก็อาจเข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณ ถึงแม้จะได้รับคำตอบแล้วก็ตาม ดังนั้นข้อนี้แบรนด์จึงไม่ควรมองข้ามเช่นกัน
3. ใส่ใจกับเรื่อง Topical Authority
เข้าสู่คีย์ที่ 3 หากต้องการทำ SEO ติดหน้าแรก Topical Authority เป็นอีกหนึ่งคีย์ที่แบรนด์ต้องหันมาโฟกัส เพราะมีผลต่อ Ranking ในการทำ SEOเพราะ Topical Authority คือการที่เว็บไซต์แสดงความเชี่ยวชาญ ถูกมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับสำหรับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งหรือประเด็นเฉพาะที่ผู้ใช้งานค้นหาเข้ามา ซึ่งถ้าอัลกอริทึมมองว่าเว็บไซต์ของแบรนด์คุณเข้าเกณฑ์ ก็จะทำให้บทความนั้นติดอันดับการค้นหาในหัวข้อดังกล่าวง่ายขึ้น
ควรทำอย่างไรให้เว็บไซต์ตอบโจทย์ Topical Authority ?
เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือทั้งจาก Google, Search Engines อื่น ๆ และผู้ใช้งาน องค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อ Topical Authority สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเด็น ซึ่งแบรนด์สามารถ Develop เพิ่มเติมได้ คือ
1. สร้างเนื้อหาบทความที่ตรงเกณฑ์ E-E-A-T หรือเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง เขียนโดยผู้ที่มีประสบการณ์ตรง ซึ่ง Users สามารถเชื่อถือและไว้วางใจได้ ตามข้อมูลที่บอกไปแล้วด้านบน
2. อัปเดตเนื้อหาและเพิ่มบทความใหม่ที่เกี่ยวข้อง แบรนด์ควรรักษาความทันสมัยของข้อมูลและเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ ๆ บนเว็บไซต์อยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานเกิดการจดจำแบรนด์และมีส่วนร่วมต่อหัวข้อเฉพาะที่นำเสนอได้
3. ทำ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงในวงการเดียวกัน หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับหัวข้อนั้น ๆ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์มากขึ้น
4. อัปเดตเนื้อหาที่มีอยู่แล้วให้เฟรชอยู่เสมอ
การอัปเดตเนื้อหาของบทความ SEO หรือคอนเทนต์บนเว็บไซต์ที่มีอยู่ให้ทันสมัยและเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน มีความสำคัญมากกว่าการสร้างเนื้อหาหรือหัวข้อใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับแบรนด์เลย เพราะการรีเฟรชเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้แบรนด์ของคุณยังคงรักษาอันดับที่ดีในหน้าผลการค้นหาไว้ได้
ยิ่งในปัจจุบันหลายธุรกิจมีการทำ SEO กันมากขึ้น ดังนั้นโอกาสที่เนื้อหาจะไม่ถูกปรากฏในหน้าแรกจึงมีสูงขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นคือ เพื่อให้ Users ยังคงติดตามและมองหาข้อมูลในหัวข้อที่เฉพาะเจาะจงในเว็บไซต์ของคุณต่อไป การอัปเดตเนื้อหาที่มีอยู่แล้วจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ
ต้องการรีเฟรชเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันควรเริ่มอย่างไรดี ?
ก่อนอื่นให้ติดตามเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือประเด็นเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์อยู่ตลอด และหมั่นเช็กข้อมูลของ Target Audiences ว่าปัจจุบันเป็นกลุ่มไหน ใครบ้างที่เข้ามามี Engage กับแบรนด์ เพื่อจะได้นำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ต่อ หลังจากนั้นให้ลองทำตามวิธีการ ดังนี้
- เช็กจากเครื่องมือในระบบหลังบ้าน เพื่อดูว่า Keywords หรือบทความไหนที่เริ่มมีอัตราการเข้าชมลดลง เพื่อให้ทราบว่าบทความหรือเนื้อหาส่วนไหนบนเว็บไซต์ที่ควรปรับปรุงเพิ่มเติม
- อัปเดตเนื้อหาเดิมด้วยข้อมูลล่าสุด เช่น สถิติใหม่ ข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ด้วยการแก้ไขหรือเติมเข้าไปในบทความเดิม โดยไม่ต้องแก้ไขข้อมูลใหม่ทั้งหมด
- นำเนื้อหาเดิมไปปรับให้เป็น Format ใหม่ เช่น นำข้อมูลบทความยาวบนเว็บไซต์ มาย่อยใจความสำคัญและโพสต์ลงในช่องทางอื่น ๆ และโพสต์อีกครั้ง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ Users คลิกเข้ามาอ่านบนเว็บไซต์มากขึ้น
5. ตามให้ทันเทรนด์ AI ที่มาแรงแบบต่อเนื่อง
ปัจจุบัน AI (Artificial Intelligence) เข้ามามีบทบาทกับหลาย Industry ซึ่งในฝั่งการทำการตลาดออนไลน์หรือการทำ SEO เอง AI ก็เข้ามามีส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดจากการเข้ามาของ Google SGE ที่อาจส่งผลต่อการจัดอันดับในหน้า SERPs อย่างที่กล่าวไปแล้ว
นอกจากนี้จาก Report ปีล่าสุดของ SEMRush ที่ทำการสำรวจจากหลายบริษัททั่วโลก พบว่า 67% ของธุรกิจขนาดเล็กมีการนำ AI เข้ามาใช้ในฝั่งของคอนเทนต์และ SEO แล้ว และจากการรายงานเดียวกันยังระบุอีกว่า 65% ของธุรกิจต่าง ๆ ได้ผลลัพธ์ SEO ที่ดีขึ้นด้วย AI
ดังนั้นการติดตามความเคลื่อนไหวของเทรนด์และอัปเดตเกี่ยวกับ AI หรือ Tools ใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้กับงาน SEO รวมถึงการพัฒนากลยุทธ์และบุคลากรของแบรนด์ควบคู่กันไปด้วย คือคีย์ปิดท้ายที่แบรนด์ควรตามให้ทัน เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำ SEO ในปี 2024 ให้ประสบความสำเร็จนั่นเอง
เหตุผลที่ควรเลือกทำ SEO กับ Heroleads Asia เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ !
การทำการตลาดแบบ SEO เป็นแผนการตลาดที่ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับแบรนด์ในระยะยาว ดังนั้นเพื่อให้วางรากฐานได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคง Heroleads Asia พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยให้ทุกธุรกิจทำแคมเปญ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ ไปดูกันว่าข้อดีและบริการของเรามีอะไรบ้าง
ทำไมต้องใช้บริการ SEO กับ Heroleads Asia ?
Heroleads Asia รับทำ SEO ติดหน้าแรกของ Google ด้วยการบริการที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณ ส่งผลให้แบรนด์มีตัวตนและค้นพบกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการซื้อในผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์โดยเฉพาะ และนี่คือข้อดีหากเจ้าของธุรกิจเลือกใช้บริการกับเรา !
- เรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์ในด้านการทำ SEO มาอย่างยาวนาน ซึ่งสามารถช่วยวางแผนการทำ SEO อย่างชำนาญและแม่นยำ
- เราสร้างกลยุทธ์เฉพาะตัว เพราะแต่ละแบรนด์มีความแตกต่างกัน เราจึงวิเคราะห์และวางกลยุทธ์การทำ SEO ให้ตรงกับเป้าหมายของแบรนด์ เพื่อจับกลุ่มลูกค้าได้ถูกต้อง
- เรายึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ความพึงพอใจของคุณถือเป็นสิ่งแรกที่เราให้ความสำคัญ จึงพร้อมช่วยเหลือและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจคุณ
- ตอบโจทย์หลากหลายอุตสาหกรรม เราพร้อมดูแลลูกค้าทุกแบรนด์ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน วัดผลลัพธ์ได้จริง
10 บริการ SEO ของ Heroleads Asia
Heroleads Asia มาพร้อมบริการรับทำ SEO แบบครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. SEO Audit การวิเคราะห์เว็บไซต์อย่างละเอียด เพื่อให้ทราบว่ามีจุดใดบ้างที่ต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO และโอกาสให้ลูกค้ามองเห็นธุรกิจของคุณบนหน้า Google Search มากขึ้น
2. E-Commerce SEO การปรับปรุงประสิทธิภาพหน้าร้านของคุณบน Brand.com, Marketplaces และแพลตฟอร์มโซเชียลต่าง ๆ โดยการสร้างกลยุทธ์ที่ช่วยดึงดูดการมีส่วนร่วมจากกลุ่มเป้าหมายที่ใช่
3. International SEO การปรับแต่ง Keywords ให้เหมาะสมและมีความเกี่ยวข้องกันในแต่ละประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงแบรนด์
4. Local SEO การคัดสรร Keywords ที่สอดคล้องกับความสนใจและพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์
5. Enterprise SEO การทำ SEO สำหรับลูกค้าองค์กรที่มีความซับซ้อนและต้องวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมของลูกค้า
6. Backlink Building การเพิ่มลิงก์ที่มีคุณภาพของเว็บไซต์จากเว็บที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความไว้วางใจและภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดียิ่งขึ้น
7. SEO Content การจัดการโครงสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้มีระเบียบ เข้าใจง่าย และเข้าถึงง่าย เพื่อให้ Google ประเมินเค้าโครงได้ดีขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มการมองเห็นและเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา
8. Video SEO การเขียนคำอธิบายของวิดีโอด้วย Keywords ที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มยอดผู้เช้าชมวิดีโอบนแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น YouTube, Facebook
9. CRO (Conversion Rate Optimization) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากทีมผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มโอกาสการซื้อสินค้า ช่วยสร้างโอกาสทางการตลาดที่สูงขึ้น
10. Penalty Recovery การให้คำแนะนำจากทีม เพื่อช่วยแบรนด์คุณรักษาตำแหน่งของเว็บไซต์ให้กลับมาเป็นปกติและดีขึ้น หากได้รับการแจ้งเตือนซึ่งอาจจะส่งผลให้เว็บไซต์ถูกปิดกั้น หรือทำให้เว็บไซต์ถูกปิดลงในอนาคต
แพ็กเกจ SEO ที่แนะนำ
หากแบรนด์ไหนสนใจแพ็กเกจ SEO ของ Heroleads Asia ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรายินดีให้คำปรึกษาและแนะนำแพ็กเกจที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ สามารถลงทะเบียนสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ https://heroleads.asia/seo/ หรือโทร. 02-038-5220 หรือหากต้องการวางแผนทำการตลาดออนไลน์บนช่องทางอื่น ๆ ก็สามารถติดต่อที่เบอร์ข้างต้นเพื่อขอรับคำแนะนำได้เช่นเดียวกัน
อ้างอิง : developers.google, SEMrush