3 วิธีวัดผลแคมเปญออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
บทความน่าอ่าน
3 วิธีวัดผลแคมเปญออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เป็นระยะเวลากว่า 2 ปีที่โลกพยายามรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจต่างหันมา
ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดบนช่องทางดิจิทัลแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้ และในปัจจุบันการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) หรือการตลาดบนช่องทางออนไลน์ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดรูปแบบหนึ่งซึ่งกำลังเป็นที่นิยม
กันอย่างแพร่หลายในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรมทั่วโลก
การจะทำการตลาดดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหลายธุรกิจที่เพิ่งเริ่มใช้กลยุทธ์
ทางการตลาดแบบดิจิทัลเป็นครั้งแรกนั้นต่างต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย หรือแม้แต่การทำ
แคมเปญที่ไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งหนึ่งในต้นตอของปัญหาเหล่านี้อาจเกิดจากการที่ผู้คน
จำนวนมากยังไม่รู้วิธีการวัดผลความสำเร็จของแคมเปญอย่างถูกต้อง
เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีการวัดผลแคมเปญที่ชัดเจนมากขึ้น เราได้มีการพูดคุยกับคุณ Agus Mardianto ผู้จัดการฝ่ายการตลาดออนไลน์ บริษัท Heroleads Asia ประจำประเทศอินโดนีเซีย
“ในการดำเนินแคมเปญการตลาดออนไลน์ นอกเหนือจากความสามารถในการสร้างกลยุทธ์
และการดำเนินกิจกรรมทางด้านการตลาดต่างๆ แล้วนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง
คือความสามารถในการวัดผลแคมเปญที่มีประสิทธิภาพ”
กำหนดเป้าหมายการตลาดดิจิทัล
สิ่งสำคัญสำหรับการใช้กลยุทธ์การตลาดแบบดิจิทัล คือการกำหนดเป้าหมายทางการตลาดก่อน
ที่จะเริ่มดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับแคมเปญ โดยคุณ Agus อธิบายเพิ่มเติมว่า มี 4 วัตถุประสงค์หลักด้วยกัน
ที่นักการตลาดต้องทำความเข้าใจ ก่อนที่จะเริ่มทำการวัดผลแคมเปญการตลาดดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วย
1. วัตถุประสงค์ทางธุรกิจ: โดยทั่วไปเป้าหมายนี้มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มรายได้ อัตรากำไร และปริมาณ (เช่น หน่วยที่ขาย) กล่าวโดยสรุป Business Objective หมายถึงมูลค่าการเติบโต
ทางธุรกิจที่ต้องการบรรลุ
ตัวอย่าง: กำหนดรายได้การขายเสื้อยืดเพิ่มเป็น 200% ในปี 2565
2. วัตถุประสงค์ทางการตลาด: เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ จำเป็นจะต้องค้นหากลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจนั้นๆ
ตัวอย่าง: การเพิ่มรายได้จากการขายเสื้อยืดขึ้นเป็น 200% ในปี 2565 นั้นจำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์ทางการตลาดแบบดิจิทัล โดยดำเนินการด้านแคมเปญผ่านช่องทางออนไลน์
3. วัตถุประสงค์ของการใช้สื่อ: เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการใช้สื่อควรสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางการตลาด ดังนั้นการกำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้สื่อจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกำหนดกลยุทธ์ทางการ
ตลาดที่เหมาะสมแล้วเท่านั้น
ตัวอย่าง: การเพิ่มยอดขายเสื้อยืดสีพื้นผ่านช่องทางออนไลน์ให้ถึง 200% ในปี 2565 สามารถทำแคมเปญโดยอาศัยเครื่องมือแบบ Search Engine Marketing (SEM)
4. ตัวชี้วัดแคมเปญ: การกำหนดตัวชี้วัดที่จะใช้ในการวัดผลแคมเปญที่กำลังดำเนินอยู่
ตัวอย่าง: หากลงโฆษณาโดยมีเป้าหมายเพื่อการเพิ่มยอดขาย การเฝ้าสังเกตการณ์เกี่ยวกับ CTR และ Conversion Rate ของแคมเปญถือเป็นสิ่งสำคัญ
คุณ Agus กล่าวเสริมว่า “ก่อนที่นักการตลาดทั้งหลายจะสามารถเริ่มวัดผลความสำเร็จของแคมเปญดิจิทัลได้นั้น ต้องรู้จักนำวัตถุประสงค์หลัก 4 ข้อนี้มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมเสียก่อน โดยเริ่มจากวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ วัตถุประสงค์ทางการตลาด วัตถุประสงค์ของการใช้สื่อ ไปจนถึงตัวชี้วัดแคมเปญตามลำดับ”
กำหนดเส้นทางของผู้บริโภค
อีกหนี่งสิ่งสำคัญที่ควรรู้ คือ เส้นทางของผู้บริโภคตั้งแต่ก่อนจะเป็นลูกค้า จนตัดสินใจซื้อ โดยต้องให้แน่ใจว่าธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่นั้นได้ตอบโจทย์และเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าในทุกๆขั้นตอนอยู่เสมอ ขั้นตอนสำคัญของ Customer Journey มีดังนี้:
1. ต้องมั่นใจว่าธุรกิจที่กำลังดำเนินการอยู่สามารถจับต้องได้
- จัดลำดับความสำคัญผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าตามประวัติ โดยเรียงตามอายุ เพศ ความสนใจและพฤติกรรมบนโลกออนไลน์
2. ชักนำผู้คนให้สนใจในแบรนด์ที่กำลังดำเนินธุรกิจอยู่
- เรียบเรียงประวัติบุคคลผู้ที่แสดงความสนใจในธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่ โดยเน้นถึงประโยชน์จากการใช้ผลิตภัณฑ์เป็นหลัก
3. กระตุ้นให้ผู้บริโภคสนใจซื้อสินค้าและบริการ
- ค้นหาบุคคลที่แสดงความสนใจอย่างมากต่อการซื้อผลิตภัณฑ์และบริการ โดยการเพิ่มโปรโมชันพิเศษเพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้โดยเร็ว
4. ส่งเสริมให้ผู้บริโภคกลับมาซื้อเพิ่ม
- โดยการติดตามพฤติกรรมของลูกค้าปัจจุบันผ่าน email marketing หรือการส่งข้อความทางการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมมอบส่วดลดพิเศษให้กับผู้ที่เคยซื้อผลิตภัณฑ์ก่อนหน้า
เริ่มดำเนินการวัดผลความสำเร็จของแคมเปญ!
หลังจากทราบเป้าหมายทางธุรกิจและเส้นทางของลูกค้าอย่างชัดเจนแล้ว ลำดับถัดมาสามารถเริ่มวัดประสิทธิภาพของแคมเปญได้เลย!
ในตัวอย่างก่อนหน้านี้ หากต้องการเพิ่มรายได้จากการขายเสื้อยืดให้ถึง 200% ควรเน้นที่ขั้นตอนการพิจารณาของผู้ซื้อในการวางแผนทำการตลาด
ในขั้นตอนการพิจารณาของผู้ซื้อนี้ ผู้ดำเนินแคมเปญทางการตลาดต้องโน้มน้าวผู้บริโภคว่าผลิตภัณฑ์ที่กำลังดำเนินการขายอยู่นั้นเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดอย่างไร เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องลังเลที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ เช่น เน้นว่าวัสดุที่ใช้ในผลิตภัณฑ์นั้นๆมีความนุ่มและมีคุณภาพที่ดีเยี่ยม
จากนั้น อาจมีการใช้แคมเปญการตลาดดิจิทัลโดยอาศัยเครื่องมือแบบ SEM เพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาคำว่า “เสื้อยืดคุณภาพดีเยี่ยม” และพบแบรนด์ธุรกิจที่กำลังดำเนินการอยู่บนเครื่องมือการค้นหาได้ง่ายขึ้น ดังนั้นสรุปได้ว่า วัตถุประสงค์ในการใช้สื่อของธุรกิจนี้คือ conversion สิ่งบ่งชี้ที่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมาย take action ตามที่ตั้งเป้าหมายของแคมเปญนั้นไว้
เมื่อทราบวัตถุประสงค์ของการใช้สื่อแล้ว ถัดมาจะเป็นการกำหนดตัวชี้วัดที่จะใช้วัดประสิทธิภาพของแคมเปญดิจิทัล ตัวอย่างวัตถุประสงค์ของการใช้สื่อและตัวชี้วัดบางส่วน:
KPI vs Metrics (ตัวชี้วัด) : ต่างกันอย่างไร?
คุณ Agus กล่าวอีกว่า “หลายคนมักสับสนกับคำว่า KPI และ metrics” สาเหตุของความสับสนนี้เป็นเพราะทั้ง KPI และ metrics หมายถึงการวัดเชิงปริมาณหรือสิ่งที่สามารถคำนวณได้ด้วยตัวเลข
คำว่า KPI เองตามคำจำกัดความ หมายถึงการวัดผลความสำเร็จ นอกเหนือจากการที่มีตัวเลขเป็นเกณฑ์มาตรฐานแล้ว KPI ยังมีกรอบเวลาที่กำหนดไว้ด้วย
ตัวอย่างเช่น: KPI ของบริษัทที่ขายเสื้อยืดคือการเพิ่มยอดขายเสื้อยืดให้ถึง 200% ในปีหน้า
แน่นอนว่า metrics มีความสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำเนินแคมเปญ
ตัวอย่างเช่น: ในแดชบอร์ดการตลาด มี metrics มากมายที่ปรากฎอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Engagement Rates, Video Views (ยอดเข้าชมวิดีโอ), CPL, CPC, CTR, และอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม หาก KPI ของธุรกิจที่กำลังดำเนินการอยู่คือการเพิ่มรายได้ จำเป็นจะต้องเน้นที่ metrics หลักๆ เช่น CPC และ CTR และสามารถยกเลิกการใช้ metrics ตัวอื่นที่ไม่สอดคล้องได้
การใช้ตัวชี้วัดเพื่อวัดผลความสำเร็จของแคมเปญที่เหมาะสมจะนำไปสู่การสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ง่ายขึ้นในอนาคต และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญดิจิทัลของธุรกิจที่กำลังดำเนินการอยู่ ในฐานะพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลที่เชื่อถือได้ Heroleads ขอเป็นผู้ช่วยนำทีมการตลาดดิจิทัลในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในแคมเปญแบบรายวันและ การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และความต้องการที่ต่างกันของผู้บริโภค