SEO คืออะไร ? ทริคการทำ SEO เพื่อการเติบโตของธุรกิจในปี 2024
บทความน่าอ่าน
SEO คืออะไร ? ทริคการทำ SEO เพื่อการเติบโตของธุรกิจในปี 2024
หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับคำว่า SEO กันอยู่แล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าหมายถึงเครื่องมืออะไร ? และมีวิธีการทำงานรูปแบบไหน ?
ในคู่มือฉบับนี้เราจะพาทุกท่านดำดิ่งสู่โลกแห่งการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต และไขความลับของกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนกลยุทธ์ SEO ให้ประสบความสำเร็จ
ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเพิ่มการมองเห็นแบรนด์บนช่องทางออนไลน์ ขยายธุรกิจ หรือเป็นบุคคลที่อยากเข้าใจกลไกการทำงานของเครื่องมือ SEO บทความนี้จะทำใหุ้ณเห็นภาพรวมมากยิ่งขึ้น มาเริ่มกันเลย!
SEO คืออะไร ?
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization ซึ่งหมายถึงการปรับปรุงเว็บไซต์และหน้าเว็บไซต์ให้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มการมองเห็นและอันดับในหน้าผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SERPs)
เป้าหมายของ SEO คือเพิ่มการค้นหาแบบออร์แกนิกหรือไม่ใช้การจ่ายเงินค่าโฆษณาเพื่อส่งคนไปยังเว็บไซต์ แต่ทำให้เว็บปรากฏในอันดับการค้นหาที่สูงเมื่อผู้ใช้ค้นหา Keywords หรือวลีที่เกี่ยวข้อง
SEO ประกอบด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น Research Keywords, การปรับปรุงในหน้าเว็บ, การปรับปรุงทางเทคนิค, การสร้างลิงก์, การสร้างคอนเทนต์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มการแสดงผลของเว็บไซต์และดึงดูด Organic Traffic
ทำไมการทำ SEO ถึงมีความสำคัญต่อธุรกิจ?
SEO มีความสำคัญสำหรับธุรกิจและเว็บไซต์ค่อนข้างมาก โดยเราได้อ้างอิงข้อมูลจากการวิจัย เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้นดังนี้
- การสร้าง Organic Traffic: ตามการศึกษาโดย BrightEdge การค้นหาแบบออร์แกนิกบนเว็บไซต์มีมากกว่า 51% ในขณะที่การค้นหาแบบจ่ายเงินค่าโฆษณาและการทำโซเชียลมีเดีย มีเพียง 10% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ SEO ในการสร้าง Organic Traffic ซึ่งนำไปสู่การแสดงผลที่มากขึ้นและมีโอกาสในการเกิด Conversion สูงขึ้น
- การมองเห็นที่เพิ่มขึ้น: เครื่องมือค้นหาอย่าง Google มีเป้าหมายในการนำเสนอผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้งาน ด้วยการนำกลยุทธ์ SEO มาใช้ ทำให้เว็บไซต์สามารถเพิ่มการปรากฏตัวในผลการจัดอันดับได้ โดยการวิจัยของ Backlinko พบว่า ผลการค้นหาแบบออร์แกนิกอันดับแรกใน Google มีโอกาสถูกคลิกสูงถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับเว็บในอันดับที่ 10
- ความน่าเชื่อถือจากผู้ใช้: ผู้คนมีความเชื่อถือในเครื่องมือค้นหาที่ให้ข้อมูลถูกต้องและน่าเชื่อถือ การจัดอยู่ในอันดับสูงของผลการค้นหาจะสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้ และมีแนวโน้มที่กลุ่มเป้าหมายจะเข้าชมเว็บไซต์ที่ปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาข้อมูลจาก Search Engine Journal เปิดเผยว่า 75% ของผู้ใช้ จะไม่มองหาข้อมูลที่เกินไปจากหน้าแรกของผลการค้นหา ซึ่งแสดงให้เห็นความสำคัญของ SEO ในการสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้ใช้อย่างมาก
- การเกิด Conversion Rate ที่สูงขึ้น: SEO ช่วยเจาะจง Keywords และปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับความตั้งใจของผู้ใช้และความตั้งใจในการค้นหา เมื่อผู้ใช้พบข้อมูลที่ต้องการผ่าน Organic Traffic พวกเขามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้าได้มากขึ้นตามข้อมูลของ Hubspot จำนวน Leads ที่มาจาก SEO มีอัตราการปิดดีล 14.6% เมื่อเทียบกับ Leads จากช่องทางอื่น ซึ่งมีอัตราการปิดดีลเพียง 1.7%
- ความได้เปรียบในการแข่งขัน: ธุรกิจที่ลงทุนใน SEO จะได้เปรียบในการแข่งขันเหนือคู่แข่ง การวิจัยจาก Webfx พบว่า 93% ของการใช้งานบนโลกออนไลน์มักเริ่มต้นการค้นหาบน Search Engine แสดงให้เห็นว่าธุรกิจที่ไม่มีการปรากฏตัวใน SEO อาจสูญเสียลูกค้าไปให้คู่แข่งได้
- แผนการตลาดที่คุ้มค่า: เมื่อเปรียบเทียบกับช่องทางการตลาดดิจิทัลอื่น ๆ SEO สามารถให้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงกว่าจากงานวิจัยพบว่า ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะคลิกผลการค้นหาแบบออร์แกนิกมากกว่าแบบจ่ายเงินโฆษณาประมาณ 70% ในขณะที่การคลิกลิงก์แบบจ่ายเงินโฆษณามีประมาณ 30% เท่านั้น ทำให้ SEO เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจ และสามารถดึงดูดกลุ่มคนคุณภาพที่สามารถเปลี่ยนเป็น Leads ได้
- ปรับให้เข้ากับการใช้งานบนมือถือ: ด้วยการใช้อุปกรณ์มือถือที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน Google จึงให้ความสำคัญกับเว็บที่เป็นมิตรกับมือถือในการจัดอันดับผลการค้นหาค่อนข้างมาก Whatsthebigdata พบว่า 92.3% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมักใช้ผ่านสมาร์ตโฟนมากกว่าอุปกรณ์อื่น ดังนั้นการปรับให้เหมาะสมบนมือถือ จะทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงและมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
SEO vs. PPC
PPC (Pay-Per-Click) และ SEO (Search Engine Optimization) เป็นกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลยอดนิยมที่ใช้ในการดึงดูดผู้ใช้งานเข้าสู่เว็บไซต์ แม้ว่าทั้งสองวิธีนี้จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการมองเห็นบนเครื่องมือค้นหา แต่ก็มีความแตกต่างกันในหลายด้าน
PPC คือการจ่ายเงินสำหรับโฆษณาที่ปรากฏด้านบนหรือด้านข้างของหน้าผลการค้นหา ผู้ลงโฆษณาจะต้องประมูล (Bid) Keywords ที่ต้องการ และจะเสียเงินก็ต่อเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณาเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้มองเห็นโฆษณาได้ทันที และสามารถควบคุมตำแหน่งที่แสดงโฆษณาได้
อัปเดตตัวเลขล่าสุด การตลาดโฆษณาดิจิทัลทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 455 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 โดย PPC นั้นมีสัดส่วนสำคัญอย่างมาก
ในทางกลับกัน SEO เป็นกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับตามธรรมชาติบน Search Engine โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น Research Keywords การสร้างเนื้อหาที่เป็นมิตรกับ SEO และการสร้างลิงก์ เพื่อปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์ในอันดับการค้นหา
โดย Organic Traffic ที่เกิดจาก SEO จะดึงดูดการคลิกจากผลการค้นหาโดยรวมได้มากกว่าโฆษณาที่จ่ายเงิน ซึ่งผลการศึกษาล่าสุดเผยว่าการค้นหาแบบออร์แกนิกนั้นสร้าง Traffic ให้เว็บไซต์โดยเฉลี่ยมากกว่า 50%
แม้ว่า SEO จะให้ประโยชน์ในระยะยาวและช่วยให้ Traffic เติบโตอย่างยั่งยืน แต่ PPC จะเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ส่วนการทำ SEO นั้นต้องใช้เวลาและความพยายามในการสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะในขณะที่ PPC ช่วยให้มองเห็นโฆษณาได้รวดเร็ว แต่ต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง การทำ SEO จึงมีความคุ้มค่ากว่าในระยะยาว เนื่องจาก Organic Traffic ไม่ต้องเสียเงินซ้ำ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายของ PPC อาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เครื่องมือค้นหาทำงานอย่างไร ?
เครื่องมือค้นหาทำงานโดยใช้อัลกอริทึม (algorithms) เพื่อไล่เก็บและสร้างดัชนี (indexing) เว็บไซต์ จากนั้นจึงให้ผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องแก่ผู้ใช้ตามคำค้นหาของพวกเขา โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้
- การไล่เก็บ (Crawling) บอทของเครื่องมือค้นหา ซึ่งรู้จักกันในนาม crawlers หรือ spiders โดยจะเข้าชมเว็บไซต์และติดตามลิงก์ เพื่อค้นหาและอ่านเนื้อหาแต่ละหน้า
- การสร้างดัชนี (Indexing) เครื่องมือค้นหาจะวิเคราะห์เนื้อหาที่พบระหว่างกระบวนการไล่เก็บและสร้างดัชนี ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของเว็บไซต์และเนื้อหาทั้งหมด
- การจัดอันดับ (Ranking) เมื่อผู้ใช้ป้อนคำค้นหา เครื่องมือค้นหาจะจับคู่กับเนื้อหา โดยใช้อัลกอริทึมในการจัดอันดับเพื่อกำหนดผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องมากที่สุด ซึ่งอัลกอริทึมเหล่านี้จะพิจารณาจากปัจจัยการจัดอันดับต่าง ๆ เช่น keywords (search terms), ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์, ประสบการณ์ของผู้ใช้ เป็นต้น
- การแสดงผลลัพธ์ เครื่องมือค้นหาจะแสดงผลการค้นหาในรูปแบบรายการ โดยปกติจะมีชื่อเรื่อง คำอธิบายสั้น ๆ และลิงก์ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งลำดับของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับอัลกอริทึมการค้นหา
- ปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้คลิกผลการค้นหา พวกเขาจะถูกนำทางไปยังเว็บไซต์ เครื่องมือค้นหาจะติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น ระยะเวลาที่อยู่บนหน้านั้นหรือการคลิกลิงก์อื่น เพื่อใช้ในการปรับปรุงอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
เครื่องมือค้นหามีเป้าหมายในการให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์แก่ผู้ใช้ ทำให้พวกเขาสามารถค้นพบสิ่งที่กำลังมองหาได้อย่างรวดเร็ว
SEO ทำงานอย่างไร?
เครื่องมือค้นหาอย่าง Google ใช้อัลกอริทึม (Algorithms) ที่มีความซับซ้อนในการกำหนดความเกี่ยวข้อง ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ซึ่งกลยุทธ์ SEO มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์เหล่านี้และจัดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา โดยขั้นตอนสำคัญในการทำงานของ SEO มีดังนี้
- การวิจัยคำหลัก (Keyword Research): SEO เริ่มต้นด้วยการระบุคำหลักและวลีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ใช้จะใช้ในการค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ Keywords ที่เหมาะสมควรมีปริมาณการค้นหาที่เหมาะสมและไม่ควรเน้นที่ SERPs มากเกินไป และอาจจะเป็นคำทั่วไปสั้น ๆ เช่น “รองเท้า” หรือ Long-Tail Keywords ที่เจาะจงมากขึ้น เช่น “รองเท้าวิ่งสีน้ำเงินรองรับเสริมส้นเท้าอักเสบ”
เมื่อพูดถึง SEO ที่ประสบความสำเร็จ คุณควรหลีกเลี่ยง Keywords ที่มีการแข่งขันสูง เว้นแต่ว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีความน่าเชื่อถือที่เพียงพอ
- การปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ (On-Page Optimization): เมื่อระบุ Target Keywords แล้ว Keywords เหล่านั้นจะต้องถูกรวมเข้ากับองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บอย่างมีกลยุทธ์ เช่น page titles, meta descriptions, หัวข้อ และเนื้อหา ซึ่งการปรับปรุงนี้จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของหน้าได้ดีขึ้น
- การสร้างเนื้อหา (Content Creation): เนื้อหาที่มีคุณภาพสูงนั้นมีความเกี่ยวข้องและมีความสำคัญต่อ SEO อย่างมาก เนื้อหาเหล่านี้จะให้คุณค่าแก่ผู้ใช้และเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหา การสร้างบล็อกโพสต์ บทความ หรือคู่มือที่กล่าวถึงหัวข้อสำคัญในอุตสาหกรรมของคุณ สามารถดึงดูด Organic Traffic และเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ได้
หากคุณเปิดเว็บไซต์ทำอาหาร คุณสามารถสร้างคำแนะนำที่ครอบคลุมเกี่ยวกับ “วิธีอบเค้กช็อกโกแลตที่สมบูรณ์แบบ” และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Keywords ที่เกี่ยวข้องได้ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาที่มีคุณภาพ เพราะมีความจำเป็นอย่างมากในการทำ SEO
- การสร้างลิงก์ (Link Building): การสร้างโปรไฟล์ลิงก์ที่แข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำ SEO ซึ่งเครื่องมือค้นหาจะมองว่าลิงก์ภายนอกที่นอกจากเว็บไซต์ของเรานั้นมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งสามารถสร้าง Back Link ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การเขียนบล็อกโดยผู้เยี่ยมชม, การสร้างเนื้อหาที่สามารถเพิ่มการแชร์ของกลุ่มเป้าหมายได้ หรือการเป็นพันธมิตรกับผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม
หากคุณมีร้านค้า E-Commerce ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิว คุณอาจจะร่วมมือกับ Blogger ความงามสำหรับการเขียนโพสต์ ทำรีวิวสินค้า และTie-In กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ
- การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิค: เครื่องมือค้นหาเช่น Google ควรจะสามารถรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์มีโครงสร้างที่ดี โดยมีโครงสร้าง URL ที่เหมาะสม แผนผังเว็บไซต์ XML เวลาในการโหลดที่รวดเร็ว และการออกแบบที่เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือบนมือถือ
การปรับปรุงเวลาโหลดของเว็บไซต์โดยการบีบอัดภาพ การลดโค้ด และการใช้ประโยชน์จากระบบแคช จะสามารถปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และประสิทธิภาพ SEO ได้อย่างมาก
- การวิเคราะห์และการติดตามผล (Analytics and Monitoring): การติดตามผลของการทำ SEO ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics และ Google Search Console เข้ามาช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้ focus keywords จะเพิ่มกลุ่มเป้าหมายเข้าเว็บไซต์มากขึ้น และจะส่งผลต่ออันดับ SEO อีกด้วย
การรับประกันเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกัน
หมายถึงการทำให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณตรงกับสิ่งที่คนกำลังค้นหา เมื่อมีใครค้นหาบน Google สิ่งที่พวกเขากำลังมองหาหรือสนใจแบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้
- ต้องการผู้ช่วยนำทาง (Navigational): เมื่อใครบางคนพยายามไปยังเว็บไซต์หรือหน้าเว็บ เช่น การเสิร์ช “Facebook login” ใน Google พวกเขาน่าจะพยายามหาหน้าล็อกอินของ Facebook
- ต้องการข้อมูลเชิงลึก (Informational): เมื่อใครบางคนกำลังมองหาข้อมูลในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง เช่น การเสิร์ช “วิธีการอบเค้ก” พวกเขาต้องการข้อมูลในการอบเค้ก
- การค้า (Commercial): เมื่อใครบางคนสนใจที่จะซื้อบางอย่าง แต่อาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจ เช่น การค้นหา “แล็ปท็อปราคาดีที่สุดต่ำกว่า $1000” พวกเขากำลังเปรียบเทียบราคาและคุณภาพก่อนที่จะซื้อ
- การทำธุรกรรม (Transactional): เมื่อใครบางคนพร้อมที่จะซื้อบางสิ่ง เช่น การค้นหา “ซื้อ iPhone 13” พวกเขากำลังมองหาแหล่งที่จะซื้อ
และเพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณมีความเกี่ยวข้องกับประเภทการค้นหาที่แตกต่างกันเหล่านี้ นี่คือสิ่งสำคัญที่คุณควรให้ความสนใจ:
- ความเกี่ยวข้องของหัวข้อ (Topical relevance): เนื้อหาของคุณควรตรงกับหัวข้อที่คนกำลังค้นหา หากใครบางคนกำลังมองหาข้อมูลเกี่ยวกับการอบเค้ก เนื้อหาของคุณควรเป็นเรื่องการอบเค้ก ไม่ใช่เรื่องอื่นที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง เช่น การทำสวน
- ประเภทของเนื้อหา (Type of content): การค้นหาประเภทต่าง ๆ นั้นต้องการเนื้อหาที่แตกต่างกัน เช่น สำหรับการค้นหาแบบนำทาง ควรสร้างในหน้าแรกหรือมีแผนผังเว็บไซต์, สำหรับการค้นหาข้อมูลเชิงลึก ควรสร้างบล็อกโพสต์หรือบทความ, สำหรับการค้นหาเชิงพาณิชย์ ควรมีหน้ารีวิวสินค้าหรือคู่มือเปรียบเทียบ และสำหรับการค้นหาเพื่อทำธุรกรรม คุณอาจจะสร้างหน้าสินค้าหรือหน้าชำระเงินเพื่อปิดการขาย
- ความสดใหม่ของเนื้อหา (Content freshness): คนต้องการข้อมูลที่ทันสมัย โดยเฉพาะสำหรับหัวข้อที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณสดใหม่และอัปเดตเป็นประจำ ตัวอย่างเช่น บล็อกโพสต์เกี่ยวกับสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาที่อัปเดตนั้นคือรุ่นที่เพิ่งปล่อยออกมาจริง ๆ
- สถานที่ (Location): บางครั้งคนกำลังมองหาสิ่งที่เฉพาะเจาะจงกับสถานที่ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น หากใครบางคนค้นหา “จัดส่งพิซซ่า” พวกเขาน่าจะต้องการหาร้านพิซซ่าใกล้ตัวเอง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณมีความเกี่ยวข้องกับสถานที่ของกลุ่มเป้าหมายของคุณ
การสร้างเนื้อหาคุณภาพ
การสร้างเนื้อหาคุณภาพเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ SEO ที่ประสบความสำเร็จ เมื่อคุณได้ทำการวิจัย Keywords เสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มสร้างเนื้อหาที่ไม่เพียงแต่เจาะจงเฉพาะ Keywords เหล่านั้น แต่ยังให้คุณค่าแก่กลุ่มเป้าหมายของคุณด้วย
ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง:
- ความครอบคลุม (Comprehensiveness): เนื้อหาของคุณควรให้ข้อมูลที่ครอบคลุมและละเอียดเกี่ยวกับหัวข้อนั้น มันควรครอบคลุมทุกแง่มุมและตอบคำถามที่พบบ่อย
- ความแปลกใหม่ (Uniqueness): พยายามนำเสนอเนื้อหาที่แปลกใหม่และเป็นของแท้เพื่อให้โดดเด่นจากคู่แข่ง นำเสนอมุมมองที่แปลกใหม่ ข้อคิดเห็นที่โดดเด่น หรือนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่แตกต่างออกไป เพื่อทำให้เนื้อหาของคุณน่าสนใจและมีคุณค่ามากขึ้น
- สัญญาณ E-E-A-T (E-E-A-T Signals): E-E-A-T ย่อมาจาก Experience (ประสบการณ์), Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (ความมีอำนาจ) และ Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) มีความสำคัญในการสร้างเว็บไซต์ของคุณให้เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ สิ่งนี้สามารถทำได้โดยการแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในสาขาของคุณ นำเสนอคุณสมบัติหรือประสบการณ์ และอ้างอิงแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อสนับสนุนเนื้อหาของคุณ
- ความง่ายต่อการอ่าน (Readability): ทำให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณอ่านและเข้าใจได้ง่าย ใช้วรรคและประโยคที่กะทัดรัด ใช้หัวข้อและหัวข้อย่อยเพื่อแบ่งเนื้อหา อาจจะใช้ตัวเลขเพื่อจัดระเบียบข้อมูล โดยพิจารณาจากกลุ่มเป้าหมายและเพื่อสร้างงานเขียนให้สอดคล้องกับพวกเขา
ควรเริ่มต้นการทำ SEO อย่างไร?
การสร้างเนื้อหาคุณภาพ ให้เริ่มจากการระดมสมองหัวข้อที่เกี่ยวข้องตามการวิจัยคำหลักของคุณ ทำการวิจัยอย่างละเอียดเพื่อรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย
ใช้แหล่งที่เชื่อถือได้และอ้างอิงอย่างเหมาะสม จัดเรียงเนื้อหาของคุณอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มีความราบรื่นและครอบคลุมในประเด็นที่จำเป็นทั้งหมด สุดท้ายแก้ไขและตรวจทานเนื้อหาของคุณสำหรับไวยากรณ์ การสะกดคำ และความชัดเจน
การใช้งานที่มีประสิทธิภาพ
SEO ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่การปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณสำหรับเครื่องมือค้นหาเท่านั้น การมุ่งเน้นไปที่การให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ก็มีความสำคัญเช่นกัน ความสามารถในการใช้งานได้ดีเป็นแง่มุมสำคัญ เนื่องจากเครื่องมือค้นหาให้คุณค่ากับเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายและให้คุณค่าแก่ผู้ใช้ และนี่คือปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา
- ความปลอดภัยของเว็บไซต์ (Site Security): การมีเว็บไซต์ที่ปลอดภัยไม่เพียงแต่สำคัญต่อความไว้วางใจของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังสำคัญต่ออันดับการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาด้วยการนำ HTTPS (secure socket layers) และ SSL certificates มาใช้สามารถช่วยปกป้องเว็บไซต์และข้อมูลผู้ใช้ของคุณได้ ซึ่งเป็นการให้ความมั่นใจแก่ผู้ใช้ว่า ข้อมูลของพวกเขาจะปลอดภัย และเครื่องมือค้นหาจะนำสิ่งนี้มาพิจารณาในการจัดอันดับ
- ความเร็วของหน้าเว็บไซต์ (Page speed): ความเร็วของหน้าเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างประสบการณ์ให้แก่ผู้ใช้ โดยหน้า SEO ที่โหลดช้าจะทำให้ผู้ใช้กดออกจากหน้าเว็บสูงขึ้น ส่งผลให้อันดับการค้นหาต่ำลง การเพิ่มประสิทธิภาพโค้ดของเว็บไซต์ของคุณ การบีบอัดรูปภาพ และการใช้เทคนิคการแคชเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยในการปรับปรุงความเร็วของหน้าเว็บไซต์ได้
- การเป็นมิตรกับมือถือ (Mobile Friendliness): ด้วยการใช้งานบนมือถือที่เพิ่มขึ้น การมีเว็บไซต์ที่เป็นมิตรกับมือถือจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น เว็บไซต์ที่เป็นมิตรกับมือถือไม่เพียงแต่ช่วยเสริมประสบการณ์ผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่ออันดับการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาที่สูงขึ้นด้วย การออกแบบแบบและเทคนิคการปรับปรุงให้เป็นมิตรกับมือถือจะช่วยให้แน่ใจว่า เว็บไซต์ของคุณดูดีและทำงานได้อย่างราบรื่นบนอุปกรณ์มือถือ
- ความง่ายในการใช้งาน (Ease of Use): เว็บไซต์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้จะนำทางให้ผู้เข้าชมได้ง่าย ช่วยค้นหาข้อมูลและดำเนินการตามที่ต้องการได้อย่างราบรื่น การมีโครงสร้างเว็บไซต์ที่สอดคล้อง มีเมนูที่ชัดเจนและกะทัดรัด รวมถึงเนื้อหาที่จัดระเบียบอย่างดีสามารถเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ได้อย่างยิ่ง นอกจากนี้การให้คำแนะนำที่เข้าใจได้ง่ายและกะทัดรัด เช่น การกรอกแบบฟอร์มหรือการสั่งซื้อ ก็สามารถปรับปรุงความสามารถในการใช้งานได้
ควรเริ่มต้นอย่างไร?
เมื่อเป็นเรื่องของการปรับปรุงการใช้งานใน SEO สิ่งสำคัญคือต้องจัดลำดับความสำคัญและมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ที่จะมีผลกระทบที่สำคัญที่สุด
ข้อแนะนำสำหรับการเริ่มต้นมีดังนี้:
- ทำการตรวจสอบเว็บไซต์ (Conduct a Website Audit)
- ปรับปรุงประสิทธิภาพทางเทคนิค (Address Technical Optimization)
- ปรับปรุงสำหรับอุปกรณ์มือถือ (Optimize for Mobile Devices)
- เพิ่มประสบการณ์ให้แก่ผู้ใช้ (Enhance User Experience)
โปรดจำไว้ว่าการใช้งานที่ดีเยี่ยมเป็นพื้นฐานที่สำคัญของ SEO ที่ประสบความสำเร็จและควรทำอย่างต่อเนื่อง
การสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์
การสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO เนื่องจากช่วยให้เครื่องมือค้นหาระบุความน่าเชื่อถือและความเกี่ยวข้องของเว็บไซต์หรือเพจได้ เช่นลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงและการแชร์บนโซเชียลมีเดีย มีส่วนทำให้อันดับของเครื่องมือค้นหาดีขึ้นและเพิ่มปริมาณการเข้าชมได้มากขึ้น
- การสร้างคอนเทนต์ที่มีคนอยากลิงก์มา (linkable assets): การสร้างคอนเทนต์คุณภาพสูง ทำให้ผู้อื่นอยากนำไปวางลิงก์ไว้บนคอนเทนต์ของเขา เช่น บล็อกข้อมูล คู่มือครบวงจร อินโฟกราฟิก วิดีโอ หรือคอนเทนต์ประเภทอื่นที่มีมุมมองหรือวิธีแก้ปัญหาได้ตรงจุด การผลิตคอนเทนต์คุณภาพนี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยดึงดูดลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงจากเว็บไซต์น่าเชื่อถืออื่น ๆ และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บของคุณได้ด้วย
- การเขียนบล็อกจากผู้เยี่ยมชม: การเขียนบล็อกของผู้มาเยี่ยมชมเกี่ยวข้องกับการเขียนและเผยแพร่บทความบนเว็บไซต์ได้ในวงกว้าง กลยุทธ์นี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งขึ้นและเข้าถึงคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าใหม่ ๆ และขณะเดียวกันก็ได้รับลิงก์ย้อนกลับมาด้วย
- การสร้างลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้: กลยุทธ์การสร้างลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้นหาลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้บนเว็บไซต์อื่นๆ และติดต่อกับเจ้าของเว็บไซต์เพื่อแนะนำให้แทนที่ลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้ด้วยลิงก์ไปยังเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกับคุณ วิธีการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์แก้ไขลิงก์ที่เสียหายและปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ แต่ยังเปิดโอกาสให้คุณได้รับลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงอีกด้วย
ควรเริ่มทำสิ่งนี้ได้อย่างไร?
ให้เริ่มต้นด้วยการ Research Keywords และคู่แข่งอย่างละเอียด ระบุพื้นที่ที่คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและคุ้มค่าในการทำ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มช่องว่างในตลาดให้คุณได้
เมื่อคุณมีกลยุทธ์ด้านเนื้อหาแล้ว ให้ติดต่อกับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องและเสนอโอกาสในการเขียนบล็อกสำหรับผู้เยี่ยมชม
ใช้เครื่องมือเช่น Broken Link Checkers เพื่อค้นหาลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้บนเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้และสร้างข้อความเข้าถึงส่วนบุคคลเพื่อแนะนำทางเลือกอื่น ๆ
การสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์นั้นต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างสม่ำเสมอ มุ่งเน้นที่การผลิตเนื้อหาคุณภาพสูง การได้รับลิงก์ย้อนกลับที่เกี่ยวข้อง และการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
ความจริงเกี่ยวกับ SEO
- SEO ต้องใช้เวลา: การบรรลุและรักษาอันดับที่สูงในหน้าผลการค้นหาต้องใช้ความพยายามและความอดทนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่กระบวนการทำภายในคืนเดียวแต่เป็นการลงทุนระยะยาว
- เนื้อหาสำคัญที่สุด: เนื้อหาคุณภาพสูง เกี่ยวข้อง และดึงดูดผู้อ่านคือรากฐานของ SEO ที่ประสบความสำเร็จ เครื่องมือค้นหาจะจัดอันดับที่สูงให้กับเว็บไซต์ที่มีข้อมูลคุณภาพ
- Keywords ยังมีความสำคัญ: การเข้าใจ Keywords ที่คนใช้ค้นหาสินค้าหรือบริการในอุตสาหกรรมของคุณถือเป็นเรื่องสำคัญ การ Research Keywords จะช่วยเจาะกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มประสิทธิภาพให้คอนเทนต์เว็บไซต์ได้มากขึ้น
- เทคนิค SEO มีความจำเป็น: การปรับปรุงองค์ประกอบทางเทคนิคของเว็บ เช่น ความเร็วเว็บ ความเป็นมิตรกับมือถือ การสแกนหน้าเว็บ และข้อมูลโครงสร้าง มีบทบาทสำคัญต่ออันดับการจัดอันดับ
- Backlink นั้นสำคัญ: การสร้างโปรไฟล์ลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงและหลากหลายเป็นกุญแจสำคัญในการปรับปรุงอำนาจและการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องมุ่งเน้นที่การรับลิงก์ที่เป็นธรรมชาติและมีความเกี่ยวข้อง
- ประสบการณ์ผู้ใช้มีความสำคัญ: เครื่องมือค้นหาจะพิจารณาปัจจัยประสบการณ์ผู้ใช้ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ การตอบสนองของมือถือ และการนำทางที่ง่ายดายเมื่อจัดอันดับเว็บไซต์ ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีจะนำไปสู่อันดับที่สูงขึ้น
- อัลกอริทึมมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง: เครื่องมือค้นหาอย่าง Google มีการปรับปรุงอัลกอริทึมอยู่เสมอ เพื่อให้ผลการค้นหาที่ดียิ่งขึ้น การติดตามความเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมจะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ SEO ได้
- Local SEO สำคัญสำหรับธุรกิจ: หากธุรกิจพึ่งพาลูกค้าในพื้นที่ การปรับให้เหมาะสำหรับการค้นหาท้องถิ่นถือเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งรวมถึงการปรับ Google My Business ลงในสารบบชี้แหล่งท้องถิ่น รวมถึง Keywords และเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- SEO และการตลาดเนื้อหาดำเนินควบคู่กัน: SEO และการตลาดเนื้อหาทำงานร่วมกันในการเพิ่ม Organic Traffic ซึ่ง SEO ช่วยปรับเนื้อหาให้เหมาะสำหรับเครื่องมือค้นหา ขณะที่การทำ Content Marketing มุ่งสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและน่าแบ่งปัน
- วัดผลลัพธ์ได้: ด้วยเครื่องมืออย่าง Google Analytics และ Google Search Console คุณสามารถติดตามและวัดความสำเร็จของการทำ SEO ของคุณได้ การวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและปรับแต่งกลยุทธ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO
บทบาทของ SEO ในการตลาดดิจิทัลคือการเพิ่มการปรากฏตัวแบบออร์แกนิกและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่เว็บไซต์ โดยการปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างให้เหมาะกับเครื่องมือค้นหา
ทำได้ แต่ต้องใช้เวลา การเรียนรู้และติดตามแนวโน้มอุตสาหกรรม รวมไปถึงอัลกอริทึมเครื่องมือค้นหาอยู่เสมอ
สามารถเริ่มเรียนรู้ SEO ได้โดยอ่านแหล่งข้อมูลออนไลน์ ดูวิดีโอสอน และลองปรับ SEO ให้เว็บไซต์ของคุณ การเข้าร่วมในกลุ่มคนที่พูดคุยเรื่อง SEO หรือเข้าอบรมก็เป็นประโยชน์ที่ดีเช่นกัน
แม้ไม่จำเป็น แต่เครื่องมือ SEO สามารถช่วยงาน Research Keywords วิเคราะห์คู่แข่ง ติดตามอันดับ และตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บได้เป็นอย่างดี ช่วยประหยัดเวลาและให้ข้อมูลเชิงลึกได้อย่างมาก
SEO เป็นกลยุทธ์ระยะยาว อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระดับการแข่งขัน คุณภาพเนื้อหา และประสิทธิผลของ SEO
Local SEO คือการปรับเว็บให้ปรากฏในผลการค้นหาท้องถิ่น เน้นเมื่อคนค้นหาธุรกิจหรือบริการใกล้ตัว รวมถึงการปรับ Google My Business Listing การลงสารบบชี้แหล่งท้องถิ่นและรีวิว เพื่อเพิ่มการปรากฏในผลการค้นหาพื้นที่
Sitemap เป็นไฟล์ที่ระบุหน้าเพจทั้งหมดในเว็บไซต์ ช่วยให้เครื่องมือค้นหาสำรวจและสร้างดัชนีเว็บได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นแผนผังโครงสร้างเว็บ ช่วยให้เครื่องมือค้นหาและสแกนหน้าเว็บทุกหน้าได้
ไฟล์ robots.txt เป็นไฟล์ข้อความที่อยู่ใน Root Directory ของเว็บไซต์ มีหน้าที่บอกเครื่องมือสแกนเว็บ (crawler) ของเครื่องมือค้นหาว่าควรสแกนหรือไม่สแกนหน้าเพจหรือส่วนใดของเว็บ มันช่วยควบคุมการเข้าถึงเนื้อหาของเว็บ และป้องกันไม่ให้สร้างดัชนีเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนหรือซ้ำซ้อน
URL เป็นมิตรกับ SEO หมายถึงที่อยู่เว็บที่ง่ายต่อการเข้าใจทั้งสำหรับผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา โดยปกติจะมี Keywords เกี่ยวข้อง กระชับ และบรรยายเนื้อหาหน้านั้นได้อย่างถูกต้อง URL ที่เป็นมิตรกับ SEO ช่วยเพิ่มโอกาสให้หน้าเว็บจัดอันดับสูงในผลการค้นหา
การเชื่อมโยงภายใน (Internal Linking) ใน SEO หมายถึงการเชื่อมโยงหน้าเว็บต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ของคุณด้วยลิงก์ไฮเปอร์ มันช่วยทำให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจโครงสร้างของเว็บและความสัมพันธ์ระหว่างหน้าได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้โดยนำพาผู้เข้าชมไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องในเว็บของคุณ
Core Web Vitals เป็นชุดปัจจัยเฉพาะที่วัดประสบการณ์ผู้ใช้ของเว็บไซต์ ประกอบด้วยความเร็วในการโหลด ความสามารถในการโต้ตอบ และความมั่นคงทางภาพ เครื่องมือค้นหาอย่าง Google ใช้มาตรวัดเหล่านี้ในการประเมินและจัดอันดับเว็บตามประสิทธิภาพและความเป็นมิตรต่อผู้ใช้
Core Web Vitals การยัดเยียดคีย์เวิร์ด เป็นการใส่ Keywords จำนวนมากเกินไปลงในเนื้อหา ด้วยพยายามจัดการอันดับของเครื่องมือค้นหา มันคล้ายกับการใส่เกลือมากเกินไปในอาหาร – ทำให้อาหารเสียรสชาติ! เครื่องมือค้นหาไม่ชอบการยัดเยียดคีย์เวิร์ด เพราะมันทำให้เนื้อหายากต่อการอ่านและไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับผู้ใช้ ดังนั้นจึงควรใช้ Keywords อย่างเป็นธรรมชาติ และตรงกับบริบทของเนื้อหาเท่านั้น
Schema markup เปรียบเสมือนการติดแท็กพิเศษบนเว็บไซต์เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของคุณ มันเหมือนการให้เครื่องมือสำหรับเครื่องมือค้นหาที่อธิบายรายละเอียดสำคัญของหน้านั้น เช่น สินค้าคืออะไร ขายที่ไหน หรือกิจกรรมจะเกิดขึ้นเมื่อใด มันช่วยให้เครื่องมือค้นหาแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากขึ้นในผลการค้นหา ทำให้ผู้คนค้นพบสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
บทสรุป
SEO เป็นเครื่องมือที่มีพลังในการเสริมสร้างการปรากฏตัวออนไลน์และดึงดูด Organic Traffic มายังเว็บไซต์ของคุณ
โดยการเข้าใจหลักการของการปรับปรุงเพื่อการค้นหา (Search Engine Optimization) และการนำกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ คุณสามารถเพิ่มการปรากฏตัวของเว็บไซต์ ดึงดูดจราจรที่เกี่ยวข้อง และในที่สุดก็จะบรรลุเป้าหมายของคุณได้
ลงทุนเวลาและความพยายามในการเรียนรู้และนำวิธีการ SEO มาใช้ คุณจะได้รับประโยชน์จากการปรากฏตัวบนออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นและประสบความสำเร็จในภูมิทัศน์ดิจิทัล