เพิ่มยอดขายธุรกิจผ่าน Google Ads Remarketing ที่แบรนด์ไม่ควรพลาด !
บทความน่าอ่าน
เพิ่มยอดขายธุรกิจผ่าน Google Ads Remarketing ที่แบรนด์ไม่ควรพลาด !
หลายแบรนด์ที่ทำการตลาดแบบ Social Media Marketing คงคุ้นเคยกับการทำโฆษณา Google บนแพลตฟอร์ม Google Adwords หรือ Google Ads และระบบหลังบ้านที่ช่วย Drive Conversion กลับมาสู่หน้าบ้านเป็นอย่างดี แต่อีกเทคนิคที่เป็นส่วนหนึ่งของ Google Ads Campaign ที่แบรนด์ไม่ควรมองข้ามในการใช้เพิ่มยอดขายก็คือ Google Ads Remarketing วันนี้เราจะมาเจาะประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับ Google Ads ประเภทนี้กัน
Google Ads Remarketing คืออะไร ?
Google Ads Remarketing คือ เทคนิคการทำโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Google Ads หรือชื่อเดิมคือ Google Adwords มีหลักการทำงานโดยการส่ง Ad Banners ไปแสดงผลบนหน้าเว็บไซต์ของผู้ที่เคยเข้าชม หรือมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของแบรนด์มาก่อน แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ เพื่อดึงดูดให้คนเหล่านี้กลับมามีส่วนร่วมกับแบรนด์หรือซื้อสินค้า ซึ่งเว็บไซต์ที่แบนเนอร์จะไปปรากฏส่วนใหญ่จะเป็นเว็บไซต์พันธมิตรของ Google นั่นเอง
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น สมมติว่าคุณมีธุรกิจร้านขายกล้องออนไลน์ และมีลูกค้าท่านหนึ่งเข้ามาดูกล้อง DSLR ในเว็บไซต์ แต่ยังไม่ได้ซื้อในครั้งแรก จุดนี้ Remarketing จะทำหน้าที่แสดงโฆษณาที่เกี่ยวกับกล้องรุ่นนั้นหรือนำเสนอโปรโมชันพิเศษให้กับลูกค้าดังกล่าว หากลูกค้ามีการเข้าเว็บไซต์พันธมิตรของ Google เข้าแอปฯ หรือรับชมวิดีโอบน YouTube ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการปิดยอดขายให้กับคุณได้
Google Ads Remarketing แตกต่างกับการทำการตลาดแบบอื่น ๆ อย่างไร ?
เมื่อเปรียบเทียบกับการทำการตลาดแบบอื่น เช่น การทำโฆษณาแบบทั่วไป ทั้งแบบดั้งเดิมอย่างสื่อสิ่งพิมพ์ TVC หรือแบบดิจิทัล เช่น Facebook Instagram Ads ฯลฯ Google Ads Remarketing มีความแตกต่างในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
- การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย Google Ads Remarketing จะมุ่งจับไปที่ User ที่มี Potential สูงในการซื้อสินค้าหรือใช้บริการ เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้เคยแสดงความสนใจในตัวแบรนด์มาก่อนหน้าแล้ว จึงมีโอกาสเพิ่มอัตราการคลิกและเทิร์นกลับมาเป็นยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพได้มากกว่า ในขณะที่โฆษณารูปแบบอื่น ๆ จะมุ่งเน้นไปที่การจับกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง
- การสร้างการรับรู้ของแบรนด์ Google Ads Remarketing เน้นการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสำหรับผู้ที่สนใจในสินค้าหรือบริการอยู่แล้ว จึงช่วยสร้าง Brand Awareness และ Brand Royalty ได้มากกว่าการทำโฆษณารูปแบบอื่นที่จะสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
- ความถี่ในการแสดงโฆษณา Google Ads Remarketing สามารถกำหนดความถี่ในการแสดงโฆษณาได้ตามต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวน User มากเกินไป แต่โฆษณารูปแบบอื่น ๆ อาจจะไม่สามารถควบคุมความถี่ได้ละเอียดเท่า
- การวิเคราะห์และวัดผล Google Ads Remarketing มีเครื่องมือวัดผลที่ละเอียดและแม่นยำ สามารถติดตามการแสดงผล ดูจำนวนการคลิก และค่า Cost ต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน ในขณะที่โฆษณารูปแบบอื่น ๆ อาจมีข้อจำกัดในการ Tracking ผลบางอย่าง
นอกจากความแตกต่างซึ่งเป็นจุดแข็งของ Google Ads Remarketing ตามที่บอกไปแล้ว ยังมีเหตุผลอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่ทำให้ Google Ads Remarketing เป็นเทคนิคการทำโฆษณา Google ที่ได้ประสิทธิภาพ ซึ่งเราได้รวบรวมข้อดีของการทำโฆษณารูปแบบนี้มาให้ด้านล่าง
ทำไมต้องใช้ Google Ads Remarketing เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาด ?
ต้องบอกว่า ไม่เพียงแค่ Google Ads Remarketing เท่านั้นที่ส่งผลดีอย่างมากต่อการทำการตลาด เพราะที่จริงแล้วการทำโฆษณาด้วยวิธี Retargeting ยังส่งผลดีต่อการตลาดออนไลน์ในแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่นเดียวกัน
จากข้อมูลของ WebFX ระบุว่า 26% ของผู้ใช้งานที่ถูก Retarget ด้วย Ads จะกลับไปที่เว็บไซต์ จึงมีโอกาสมากขึ้นที่จะ Convert มาเป็นลูกค้าและสร้างยอดขาย ดังนั้นยิ่งตอกย้ำได้ว่าการทำโฆษณาด้วย Google Ads Remarketing เป็นอีกเทคนิคที่น่าสนใจสำหรับแบรนด์ โดยมีข้อดีดังนี้
1. ช่วยเพิ่ม Conversion Rates จากแหล่งข้อมูลเดียวกันยังบอกอีกว่า การทำ Remarketing ในธุรกิจ B2B ส่งผลให้ Conversion Rates หรือ CTR สูงขึ้นถึง 147% เมื่อเทียบกับธุรกิจ B2C เพราะฉะนั้นจึงควรทำโฆษณารูปแบบนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขายที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ B2C ก็ไม่ควรทิ้งวิธีนี้ไป เพราะ Remarketing ยังส่งผลดีกับแบรนด์ในอีกหลาย ๆ แง่
2. สร้าง Brand Awareness ได้มากขึ้น อย่างที่บอกไปว่า Google Ads Remarketing จะจับกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจเดิมต่อตัวสินค้า ดังนั้นการเห็นโฆษณาอีกครั้งก็จะช่วยให้จดจำแบรนด์ได้ดีขึ้น ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ และมีโอกาสที่ลูกค้าจะเลือกใช้สินค้าหรือบริการของคุณในอนาคต
3. เพิ่มโอกาสในการกลับมาซื้อซ้ำ ด้วยระบบการทำงานของ Ads รูปแบบนี้ เมื่อกลุ่มลูกค้าเห็นโฆษณาซ้ำ ๆ ก็อาจกระตุ้นให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการอีกครั้งได้ นอกจากนั้นหากลูกค้าพึงพอใจในตัวสินค้า ก็อาจทำให้เกิดความ Royalty กับแบรนด์ในที่สุด
4. ช่วยลด Cost ในการรันโฆษณา เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายมีความสนใจหรือคุ้นเคยกับแบรนด์อยู่แล้ว จึงช่วยให้อัตราการคลิกสูงขึ้น มีโอกาสปิดยอดขายได้มากขึ้น ซึ่งทำให้แบรนด์เสียงบประมาณน้อยลงต่อการได้ลูกค้ากลับมา
5. มีความยืดหยุ่น ปรับแต่งข้อความโฆษณาได้หลากหลาย เจ้าของธุรกิจจึงสามารถปรับข้อความที่จะแสดงผลบน Google Ads Remarketing ให้มีความน่าสนใจและตรงกับความต้องการหรือพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันได้ ทำให้โฆษณามีความเฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขั้นตอนการตั้งค่าและสร้างแคมเปญ Google Ads Remarketing
ทราบข้อดีของการทำโฆษณา Google Ads Remarketing กันแล้ว มาต่อกันที่ขั้นตอนสำคัญอย่างการ Set Up ใน Google Adwords โดยหลัก ๆ จะแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ การเซต Remarketing Tag บนเว็บไซต์, การสร้าง Remarketing Audiences ใน Google Ads หรือ GA4 และการสร้างแคมเปญโฆษณาหรือ Banner Ads ที่น่าสนใจ
1. เซต Remarketing Tag และติดตั้งโค้ด Google Ads Remarketing บนเว็บไซต์
-
- ● เข้าไปที่ Google Ads Account เลือก Tools จากนั้นไปที่ Shared Library ตามด้วย Audience Manager คลิกเลือก Your Data Sources ตามด้วย Details จากนั้นให้เลือก Tag Setup คลิกเลือก Use Google Tag Manager จากนั้นให้คัดลอก Conversion ID เอาไว้
- ● ต่อมาให้สร้าง Remarketing Tag ใน Tag Manager โดยการเลือก New Tag ตามด้วย Tag Configuration แล้วเลือก Google Ads Remarketing จากนั้นให้ใส่ Conversion ID ลงไป
- ● จากนั้นให้คลิกเลือกประเภทของ Trigger อย่างน้อย 1 รายการ เพื่อกำหนดให้ Tag เริ่มทำงานเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ตั้งไว้ เช่น หากต้องการเพิ่ม Tag Remarketing ลงในทุกหน้าของเว็บไซต์ ก็ให้เลือกทริกเกอร์ที่จะเริ่มทำงานในหน้าเว็บทุกหน้า จากนั้นให้คลิก Save เพื่อติดตั้งแท็กบนเว็บไซต์
2. สร้าง Remarketing Audiences ใน Google Ads หรือ GA4
-
- ● หลังจากติด Tag เรียบร้อย ให้เข้าไปที่ Google Ads เลือก Audiences และกำหนด Audiences List เพิ่มตามที่ต้องการ เช่น ผู้ที่เคยเข้ามา Visit หน้ารวมสินค้าทั้งหมด จากนั้นก็สามารถคลิก Save เพื่อจบขั้นตอนการเซต Remarketing Audiences ได้ แต่หากต้องการลิสต์ของ Audiences ที่เจาะจงมากขึ้น เช่น ผู้ที่กด Add to Cart และทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้า แบรนด์จะต้องสร้าง Audiences List ใน GA ก่อน จึงจะสามารถดึงมาใช้สำหรับแคมเปญ Google Ads ได้
3. การสร้างแคมเปญโฆษณาหรือ Banner Ads ที่น่าสนใจ
-
- ● หลังจากตั้งค่าในระบบหลังบ้านเรียบร้อย มาถึงขั้นตอนที่สำคัญเช่นเดียวกัน นั่นคือการสร้าง Banner Ads ที่ช่วยดึงความสนใจของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ Retarget ซึ่งส่วนนี้แบรนด์สามารถออกแบบแบนเนอร์ให้มีข้อความที่ Hook มีโปรโมชันพิเศษ หรือมีภาพที่ช่วยให้ลูกค้า Recall แบรนด์ของคุณได้
หลังจาก 3 ขั้นตอนหลักที่บอกไป เมื่อได้ชิ้นงาน Banner มาเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถนำส่งชิ้นงานไปยัง Audience ที่กำหนดไว้ พร้อมตั้งค่างบประมาณและกำหนดเป้าหมายของแคมเปญที่แบรนด์ต้องการต่อไป เช่น ต้องการเพิ่ม Conversion, Awareness ต้องการแทร็ก Add to Cart หรือ Purchase จากนั้นก็เริ่มรันแคมเปญและติดตามผลของแคมเปญ Google Ads Remarketing ว่าดีหรือไม่ เพื่อที่จะได้ปรับกลยุทธ์ให้ตรงกับพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าต่อไป
แชร์เทคนิคการสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพ เก็บเข้าลิสต์เลย!
เพื่อให้แคมเปญ Google Ads Remarketing ได้ผลและมีประสิทธิภาพในระยะยาว มาดูเทคนิคเตรียมแคมเปญให้แสดงผลบนหน้าเว็บไซต์ของกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสมไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งแต่ละวิธีเจ้าของธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้ไม่ยาก
- สร้างกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม
ข้อนี้เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างแคมเปญเลยก็ว่าได้ เพราะแบรนด์ควรเลือกกลุ่มเป้าหมาย (Audiences List) ที่ใช่ที่สุด โดยอาจแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรม เช่น ผู้ที่เคยเยี่ยมชมหน้าสินค้าแต่ยังไม่ได้ซื้อ, ผู้ที่เพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ทำการสั่งซื้อ หรือผู้ที่เคยซื้อสินค้ามาก่อน และถ้าให้ดี แนะนำให้ใช้ Custom Audiences เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งสามารถกำหนดได้ละเอียดมากกว่า - ออกแบบข้อความและข้อเสนอพิเศษให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
แบรนด์ควรใช้ข้อความที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น มอบส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ที่เคยเยี่ยมชมแต่ยังไม่ซื้อ หรือเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้ที่เคยซื้อไปแล้ว เพื่อกระตุ้นความสนใจ และอย่าลืมปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ หรือ Landing Page ที่จะถูกนำส่งให้ผู้ใช้งานหลังจากคลิกโฆษณา ให้มีความ User-Friendly มีเนื้อหาที่ช่วยดึงความสนใจ และสามารถนำไปสู่การสร้าง Conversion ได้ง่าย
- จำกัดความถี่ให้พอดีและตั้งค่าเวลาที่เหมาะสม
ด้วยความที่เป็นแอดส์แบบ Remarketing ดังนั้นควรกำหนดจำนวนครั้งที่กลุ่มเป้าหมายจะเห็นโฆษณาในช่วงเวลาหนึ่ง (Frequency Capping) อย่างเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงโฆษณามากเกินไป จนอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกเบื่อหรือรำคาญ นอกจากนั้นควรกำหนดระยะเวลา Remarketing ให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน เช่น หากเป็นสินค้าที่ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจมาก อาจตั้งระยะเวลา Remarketing ให้ออนไลน์นานขึ้น - ห้ามทิ้งการทำ Test หรือ A/B Testing
อย่ามองข้ามการทดสอบโฆษณาหลาย ๆ แบบ เพราะการ Test จะช่วยให้รู้ว่า Ads แบบไหน หรือ Audience List กลุ่มใด ทำงานได้ดีที่สุด ซึ่งการ Test นั้น ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่ซับซ้อน เริ่มต้นคุณอาจลองปรับเปลี่ยนข้อความ, รูปภาพ, Call to Action หรือข้อเสนอพิเศษ อย่างใดอย่างหนึ่งก่อนก็ได้ หรืออาจทำเป็น A/B Testing เพื่อเทียบ 2 แบบ ก็ยิ่งดี - ติดตามและวิเคราะห์ผล
ปิดท้ายที่เทคนิคเบสิก แต่ขาดไม่ได้เลยในการทำโฆษณาประเภทนี้ นั่นคือ หลังจากออนไลน์โฆษณา Google Ads Remarketing ไปแล้ว แบรนด์ควรใช้ Google Ads Report และ Google Analytics เพื่อติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญ และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตามข้อมูลที่ได้มา เพื่อสร้าง Remarketing ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
ตัวอย่าง Success Case จากการทำ Google Ads Remarketing
Global Brand หลายเจ้าใช้ Remarketing เป็นเครื่องมือเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า และผลักดันธุรกิจให้เติบโต ไปดูกันว่ามีแบรนด์ไหนบ้างที่ใช้เทคนิคนี้ทำโฆษณาออนไลน์กันบ้าง
- Nike เลือกใช้ Google Display Banner ในการทำการตลาด โดยหากลูกค้ามีการเข้าชมสินค้าที่ Official Website ก็จะเจอกับ Google Ads Remarketing ที่หน้าเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เข้าชม ซึ่ง Nike ได้ออกแบบให้ Banner มีข้อความเกี่ยวกับรองเท้าที่แนะนำในช่วงเวลานั้น ๆ พร้อมปุ่ม CTA ที่สื่อสารอย่างกระชับ เพื่อให้คลิกและกลับไปซื้อสินค้าต่อที่เว็บไซต์ โดยหลังจากการทำ Remarketing ก็สามารถเพิ่ม Conversion Rates ให้กับแบรนด์ได้มากขึ้นด้วย
- Spotify บริการสตรีมเพลงออนไลน์ที่เรารู้จักกันดี โดย Spotify ในอเมริกา เลือกใช้วิธี Remarketing ด้วยการครีเอท Google Display Banner ให้ไปปรากฏขึ้นในเว็บไซต์ต่าง ๆ ของผู้ที่เคยเข้ามาฟังเพลงในเว็บ Spotify โดยบน Banner มีการเลือกเอาโปรโมชันที่น่าสนใจ อย่างการทดลองใช้ Spotify Premium ฟรี 3 เดือน ขึ้นมาชู พร้อมใส่ปุ่ม CTA ที่ชัดเจน ซึ่งนอกจากจะทำให้ Users กดรับสิทธิ์ได้สะดวกแล้ว ยังเป็นการสร้าง Brand Awareness เกี่ยวกับแคมเปญโปรโมชันนี้ได้มากขึ้น และอาจ Convert ให้ผู้ใช้งานทั่วไปอัปเกรดมาใช้แพ็กเกจพรีเมียมได้
จาก Case ตัวอย่างด้านบน เราได้เห็นความน่าสนใจของการทำ Google Ads Remarketing ที่เจ้าของธุรกิจสามารถนำไปเป็นหนึ่งในเทคนิคการ Drive Conversion ควบคู่กับสร้าง Brand Awareness ไปพร้อมกัน
หากเจ้าของธุรกิจหรือแบรนด์ไหนอยากเริ่มต้นทำโฆษณาด้วย Google Ads Remarketing และอยากลดความยุ่งยากของขั้นตอนการทำ หรือได้ลองทำโฆษณารูปแบบนี้มาแล้ว แต่ต้องการสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Heroleads Asia พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยคุณบูสต์ธุรกิจให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการทำโฆษณา Google แบบครบวงจร หากสนใจสามารถสอบถามและขอรับคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ https://heroleads.asia/ หรือโทร. 02-038-5220 เราเป็น Google Primier Partner ที่มีทีมผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษา เพื่อให้ธุรกิจคุณประสบความสำเร็จไปด้วยกัน
อ้างอิง : support.google, webfx